ที่มาของแก้วเจ้าจอมมาจาก หมู่เกาะอินดีสตะวันออก เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดดอกแก้วเจ้าจอมมาก จึงนำมาจากประเทศชวา (อินโดนีเซีย) ครั้งเสด็จประพาส แล้วทรงนำมาปลูกใน เขตพระราชอุทยานวังสวนสุนันทา ปัจจุบันมีเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่เป็นต้นดั้งเดิม บริเวณด้านหลังเนินพระนาง หรือ พระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวี และภายหลังได้กลายมาเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และพระราชทานนามว่า “ต้นแก้วเจ้าจอม”
แม้แก้วเจ้าจอมจะเป็นไม้ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่เนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศเอเชียอาคเนย์ ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้แก้วเจ้าจอมสามารถเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย แต่แก้วเจ้าจอม ก็มีคุณลักษณะเฉพาะ นั่นคือ โตช้า แต่ก็เป็นพันธุ์ไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงามโดยธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นในเรื่องการตัดแต่งทรงพุ่ม เรียกว่าเป็นเป็นพันธุ์ไม้ประดับที่มีมนต์เสน่ห์ที่ทรงพุ่มสวยงามตลอดปีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากพุ่มจะกลมอยู่เสมอ โดยไม่ต้องตัดแต่งแต่อย่างใด
เหตุที่ตำแหน่งในการปลูกต้นแก้วเจ้าจอมอยู่ในบริเวณนั้นเนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ที่มีทรงพุ่มกลม การเจริญเติบโตค่อนข้างช้า และต้องการแสงแดดเต็มวัน จึงไม่ควรปลูกใกล้กับพันธุ์ไม้ชนิดอื่น เพราะจะทำให้ต้นสูงชะลูดไม่ได้รูปทรง ความหนาแน่นของใบจะลดลงมาก แก้วเจ้าจอมมีความต้องการน้ำในระดับปานกลางเท่านั้น การรดน้ำมากหรือน้อยเกินไปจะไม่มีผลดีกับแก้วเจ้าจอม พาลใบจะร่วงเอาถ้าหากดูแลมากหรือน้อยเกินไป
4 ใบ
6 ใบ
8 ใบ
ส่วนดอกนั้น จะออกเป็นช่วงๆตลอดปี แต่ช่วงฤดุหนาว ตั้งแต่ พฤศจิกายน –กุมภาพันธ์ จะออกดอกมากกว่าปกติ ดอกจะ เป็นช่อดอก กลีบดอกสีม่วง -คราม จำนวน 5-6 กลีบ เกสรสีเหลือง ดอกเท่าขนาดมะลิลา หรือเล็กกว่า ส่วนช่อนั้นจะใหญ่ตามระดับความเจริญงอกงามของลำต้น ต้นที่งามดี อาจจะช่อละประมาณ 30-50 ดอก เวลาบาน จะค่อยๆบาน และบานยาวนานจนกว่าจะบานครบทั้งดอก จึงทำให้มองเห็นว่ากลีบดอกของต้นแก้วเจ้าจอมนั้นมีหลายสี เช่น สีม่วง สีคราม สีฟ้า เป็นเพราะระยะเวลาในการบานไม่เท่ากัน ทำให้ดอกที่บานมาก่อน บานมานานกว่า เริ่มที่จะมีสีที่ซีดจาง แต่ก็ดีดูกลมกลืนไปอีกแบบ ถือว่าตรงนี้กลายเป็นเสน่ห์ของต้นแก้วเจ้าจอมก็ว่าได้
นอกจากลักษณะของดอกที่มีเอกลักษณ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดของต้นแก้วเจ้าจอม คือ มีอีกหลายสายพันธุ์นั่นคือ พันธุ์ 4 ใบ 6 ใบ และ 8ใบ แต่ที่นิยมปลูกกันมากคงเป็น 4 และ 6 ใบมากกว่า เนื่องจาก 8 ใบนั้นเจริญเติบโตช้ากว่ามาก ส่วนดอกนั้นก็เช่นกัน เมื่อครบเวลา 5 ปี ต้นแก้วเจ้าจอม 4 ใบ และ 6 ใบ ก็จะออกดอก แต่ 8 ใบ อาจจะใช้เวลามากกว่านั้น ต้องขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นไม้ด้วย
ส่วนแก้วเจ้าจอมที่อยู่ในรั้วรังสิตนั้นเป็นแก้วเจ้าจอมพันธุ์ 6 ใบ ซึ่งถือว่าเป็นที่นิยมมากในท้องตลาด เนื่องจาก ค่อนข้างโตเร็วที่สุดในบรรดาต้นแก้วเจ้าจอมด้วยกัน แต่ก็ยังจัดว่าช้ามาก หากไปเปรียบเทียบกับต้นพะยอม
จุดเด่นที่สำคัญของต้นแก้วเจ้าจอม คงไม่ใช่ดอกที่สวยงาม แต่คงเป็นทรงพุ่มที่ดูมีเสน่ห์โดยไม่ต้องแต่งกิ่ง ไม่ว่าต้นแก้วเจ้าจอมสายพันธุ์ใดก็ยังคงลักษณะเด่นอันนี้ไว้ คือ ต้นจะเป็นพุ่มกลมอยู่เสมอ ส่วนการขยายพันธุ์นั้น นิยมเพาะเมล็ดเพียงอย่างเดียว เพราะพันธุ์ไม้ต้นนี้หากต้องการที่พุ่มสวย แต่การขยายพันธุ์อื่นที่นิยมก็มี เช่น ทางการตอน การต่อกิ่ง ก็ติดได้ยากมาก เพาะเมล็ดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี กว่าจะได้ชมดอกสีครามสวยๆ
ประโยชน์อย่างหนึ่งที่คนทั่วไปไม่รู้นั่นคือ เนื้อไม้เป็นไม้ที่หนักที่สุดในโลก แก่นไม้มีลักษณะสีน้ำตาลอมเขียวถึงดำ กระพี้ มีสีเหลืองอ่อน เนื้อไม้แข็งมาก เป็นมัน คุณสมบัติของเนื้อไม้มีลักษณะเป็นเส้นประสานกันแน่น และหนักมาก ไม้ชนิดนี้จมน้ำ ทนต่อแรงอัด และน้ำเค็ม จึงนิยมนำมาใช้ทำกรอบประกับเพลาเรือเดินทะเล หรือกรอบประกับเพลาเครื่องจักรในโรงงานต่างๆ ทำสิ่ว และนำมากลึงทำของใช้ต่างๆ เช่น ทำลูกโบว์ลิ่ง ทำรอก เป็นต้น
นอกจากนั้นยังใช้เป็นยารักษาโรคได้โดยใช้เป็นยาสมุนไพรจากทุกส่วนของลำต้น โดยเฉพาะยางจากเนื้อไม้ในธรรมชาติซึ่งยางไม้นี้มีสีน้ำตาลอมเขียว ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาโรค ได้แก่ แก่นไม้ ยางไม้ธรรมชาติ
แก้วเจ้าจอมที่ขายในตลาดต้นไม้ทั่วไปมี 2 แบบด้วยกัน คือ แบบเพาะเมล็ดและย้ายปลูกในภาชนะปลูกขณะที่ต้นยังเล็กอยู่ และอีกแบบหนึ่งก็คือ เป็นแก้วเจ้าจอมที่ปลูกลงพื้นดินเมื่อได้ขนาดตามต้องการจะใช้วิธีการขุด ล้อมออกจากพื้นที่ (การบอน) ทั้งสองชนิด มีข้อดีแตกต่างกันออกไปคือ
แบบเพาะเมล็ดและย้ายปลูก จะได้แก้วเจ้าจอมที่ค่อนข้างแข็งแรง ทรงพุ่มได้สัดส่วน ดูแลรักษาภายหลังปลูกง่าย การเจริญเติบโตภายหลังปลูกรวดเร็ว แต่ก็มีข้อจำกัดที่ขนาดของต้นจะค่อนข้างเล็ก เหมาะกับผู้ที่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาพันธุ์ไม้ชนิดนี้
แบบปลูกลงพื้นดินและทำการบอนขึ้นมาปลูก วิธีนี้จะได้แก้วเจ้าจอมที่มีขนาดใหญ่ตามจำนวนเงินที่ท่านมี วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีความต้องการต้นไม้ขนาดใหญ่ในทันที การดูแลรักษาแก้วเจ้าจอมภายหลังปลูกจะต้องดูแลรักษาอย่างดีในช่วง 1 ปีหลังการย้ายปลูก
นายจุล ศักดิ์สุภาพ เกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นแก้วเจ้าจอม ได้พูดถึงต้นแก้วเจ้าจอมว่า เหตุที่ต้นแก้วเจ้าจอมไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคงเป็นเพราะราคาของต้นแก้วเจ้าจอมเองที่ค่อนข้างสูง เช่น ขนาดกระถางดินเผา 1 ปิ๊บราคาตกอยู่ที่ 2000 บาท ส่วน 2 ปิ๊บ ราคาอยู่ที่ 3500 บาท ทั้งพันธุ์ 4 ใบ และ 6 ใบ แต่ที่นิยมปลูกกันมากคงเป็นพันธุ์ 6 ใบ เพราะโตเร็วกว่ามาก 3 ปี ก็จะสูงประมาณ 1.5-2 เมตร
“ส่วนอื่นนั้นค่อนข้างไม่แตกต่างกัน จะมีอยู่ที่พันธุ์ 8 ใบ จะมีขนาดลำต้นที่เล็กกว่า พันธุ์อื่นหลายเท่าและโตช้ากว่ามากดอกเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยมของผู้ปลูกต้นไม้ และส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อ ซื้อไปเพราะทรงพุ่ม และชื่นชอบในชื่อมากกว่า ชมดอก เพราะหลายช่วงที่ขายได้ ก็ไม่มีดอก แต่คงเป็นเพราะแก้วเจ้าจอมเป้นต้นไม้ที่มีเสน่ห์ทางด้านลักษณะทรงพุ่ม” นายจุลกล่าว